ทำความรู้จักอัตราค่าดอกเบี้ยหลักการที่ระบุโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ถ้าเกิดมีการปรับขึ้น หรือลงจะมีผลต่อยังไงกับราษฎรรวมทั้งเศรษฐกิจบ้าง

มั่นใจว่าหลายคนบางทีอาจเคยชินกับคำว่า “อัตราค่าดอกเบี้ยแนวนโยบาย” กันบ้าง ซึ่งการปรับขึ้นอัตราค่าดอกเบี้ยแนวนโยบายส่งผลต่อราคาทรัพย์สินเสี่ยงทั่วทั้งโลก แม้กระนั้นทราบไหมว่าการปรับขึ้น หรือลงของอัตราค่าดอกเบี้ยแนวทางที่ระบุโดยธนาคารกลางในแต่ละประเทศจะส่งผลเช่นไรกับพสกนิกร รวมทั้งเศรษฐกิจในบ้านพวกเราบ้าง Sanook Money มีข้อมูลดีๆจากธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) มาฝากกัน

อัตราค่าดอกเบี้ยเป็นยังไง?
ดอกหมายถึงสิ่งที่ผู้กู้จำต้องจ่ายเมื่อกู้ยืม หรือเป็นสิ่งที่ผู้ฝากได้รับเมื่อฝากเงิน

อัตราค่าดอกเบี้ย คิดเป็นปริมาณร้อยละของค่าเงินต้นที่พวกเรากู้หรือฝากในช่วงเวลา 1 ปี ได้แก่ ถ้าเกิดพวกเราฝากเงิน 100 บาท ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้อัตราค่าดอกเบี้ย 1% ต่อปีเมื่อผ่านไป 1 ปี พวกเราจะมีเงินเพิ่มเป็น 101 บาท
อัตราค่าดอกเบี้ยแผนการเป็นยังไง?
อัตราค่าดอกเบี้ยแผนการระบุโดยธนาคารกลาง เป็นอัตราค่าดอกเบี้ยที่สำคัญที่สุดที่จะมีผลกับอัตราค่าดอกเบี้ยอื่นๆในระบบเศรษฐกิจ

อัตราค่าดอกเบี้ยแนวทางเป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้หนี้ยืมสิน ซึ่งอัตราค่าดอกเบี้ยนโบบายจะมีผลกับอัตราค่าดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้ หรือผู้ฝากเงินถัดไป

ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้ “อัตราค่าดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคีระยะ 24 ชั่วโมง” เป็นอัตราค่าดอกเบี้ยแผนการ

อัตราค่าดอกเบี้ยแผนการมีผลกับอัตราค่าดอกเบี้ยเงินกู้ยืม–เงินออมยังไง?
เมื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับขึ้นอัตราค่าดอกเบี้ยแผนการ ธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอัตราค่าดอกเบี้ยเงินออม รวมทั้งเงินกู้ยืมตาม เมื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับลดอัตราค่าดอกเบี้ยแนวทาง ธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราค่าดอกเบี้ยเงินออม และก็เงินกู้ยืมตามเหมือนกัน

อย่างไรก็แล้วแต่ ธนาคารพาณิชย์บางทีอาจปรับอัตราค่าดอกเบี้ยเงินออม แล้วก็เงินกู้ยืมไม่พอๆกับการปรับอัตราค่าดอกเบี้ยแนวทาง เนื่องจากว่ายังมีอีกหลายเหตุที่มีผลต่อการกำหนดอัตราค่าดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ดังเช่นว่า ความจำเป็นเงินกู้ยืม จำนวนเงินออม อัตราเงินเฟ้อ ทุนทำงานของธนาคารพาณิชย์ ฯลฯ

การปรับอัตราค่าดอกเบี้ยแนวนโยบายมีผลเช่นไรกับราษฎร รวมทั้งเศรษฐกิจ
การปรับอัตราค่าดอกเบี้ยแนวนโยบายมีผลต่อการใช้จ่ายของราษฎร ซึ่งการใช้จ่ายของพลเมืองจะมีผลต่อราคาของผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยรวมหรือที่เรียกว่า ‘อัตราเงินเฟ้อ’

อัตราค่าดอกเบี้ยแผนการจะมีผลยังไงกับพวกเรานั้น ขึ้นกับว่าพวกเราเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ฝากเงิน

ถ้าหากอัตราค่าดอกเบี้ยปรับน้อยลง ถ้าหากพวกเราเป็นผู้กู้หนี้ยืมสิน ดอกที่พวกเราจะต้องจ่ายจะน้อยลง แต่ว่าแม้พวกเราเป็นผู้ฝากเงิน พวกเราจะได้ดอกเงินออมลดน้อยลง

โดยเหตุนี้ เมื่ออัตราค่าดอกเบี้ยปรับลดน้อยลง พวกเรามีลักษณะท่าทางจะกู้ยืมเงินมากขึ้นด้วยเหตุว่าอัตราค่าดอกเบี้ยถูกลง นอกเหนือจากนี้ พวกเรามีลัษณะทิศทางจะฝากเงินลดน้อยลง และก็จะนำเงินไปใช้จ่ายหรือลงทุนเพิ่มมากขึ้น

ถ้าพวกเราเป็นผู้ครอบครองเงินทอง ดังเช่นว่า หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ อัตราค่าดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้ความรวยของพวกเรามากยิ่งขึ้น เนื่องมาจากดอกเงินออมที่ต่ำจะมีผลให้พลเมืองหันมาลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆที่ได้ผลทดแทนที่สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคาหุ้นรวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ปรับมากขึ้น คนที่ครองทรัพย์สินก็เลยมีความร่ำรวยมากขึ้นและก็มีลัษณะทิศทางที่จะใช้จ่ายมากขึ้นด้วย

โดยสรุป เมื่ออัตราค่าดอกเบี้ยปรับลดน้อยลงคนจะใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่ออัตราค่าดอกเบี้ยปรับมากขึ้นคนจะใช้จ่ายลดน้อยลง ซึ่งการใช้จ่ายของประชากรจะมีผลต่อราคาผลิตภัณฑ์แล้วก็บริการถัดไป ตามหลักอุปสงค์แล้วก็อุปทาน

ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากพวกเราอยากที่จะให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบวัตถุประสงค์ พวกเราจำเป็นต้องประเมินว่าคนมีทิศทางจะใช้จ่ายมากแค่ไหน การสร้างผลิตภัณฑ์และก็บริการมีลัษณะทิศทางมากมายหรือน้อยกว่ากำลังในการผลิต แล้วจึงระบุอัตราค่าดอกเบี้ยหลักการให้สมควร

ถ้าสาวใช้จ่ายไม่พอ ราคาผลิตภัณฑ์และก็บริการจะมากขึ้นน้อยหรือต่ำลง เศรษฐกิจจะชะลอตัวและก็การจ้างแรงงานน้อยลง ในกรณีนี้ ธนาคารกลางบางทีอาจลดอัตราค่าดอกเบี้ยหลักการเพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ เพื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีอีกที

แม้หญิงรับใช้จ่ายมากจนเกินความจำเป็น ราคาผลิตภัณฑ์และก็บริการจะมากขึ้นสูงมากมาย เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วทันใจแล้วก็รุนแรงเหลือเกินจะมีผลให้กำเนิดปัญหาตามมา ได้แก่ เงินเฟ้อสูงมากขึ้นมากมายจนกระทั่งราคาของเงินต่ำลง หรือกำเนิดวิกฤตฟองสบู่แตกทำให้ราคาทรัพย์สินต่ำลงอย่างเร็ว ในกรณีนี้ ธนาคารกลางบางทีอาจเพิ่มอัตราค่าดอกเบี้ยแนวนโยบายเพื่อชะลอการใช้จ่าย ช่วยทำให้เศรษฐกิจไม่รุนแรงเกินความจำเป็นได้